Author: The Enterprise Creative Content Writer

The Enterprise - a collaboration of people who are passionate about business innovation and digital for business with the aim to benefit everyone in the enterprise

จากกระแสของ Disney ที่ได้เลือกนักแสดงแอเรียลหน้าใหม่ที่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเป็นไปตามที่ใครคาดคิดเท่าไหร่หนัก จนกลายเป็นประเด็นที่ถูกหลายคนพูดถึง แต่ Disney สวนกระแสด้วยการตัดสินใจเปิดขาย ‘ตุ๊กตาแอเรียลโฉมใหม่’ เพื่อเฉลิมฉลองให้กับรูปลักษณ์ใหม่ของแอเรียลที่จะเกิดขึ้นในภาพยนตร์ ‘The Little Mermaid’ บนเว็บไซต์ Amazon ของประเทศอิตาลี ตุ๊กตานางเงือกแอเรียลโฉมใหม่นี้ได้ถูกออกแบบตามรูปร่างลักษณะของ ‘Halle Bailey’ นักร้องสาวสัญชาติอเมริกันที่มารับบทเป็นแอเรียลในครั้งนี้ ตั้งแต่สีผม สีผิว หางนางเงือกสีสันสดใส หรือแม้กระทั่งรายละเอียดไฝบนใบหน้าของเธอก็เก็บรายละเอียดทั้งหมดมาได้ครบ เหมือนถอดแบบกันออกมาเลย Halle Bailey ได้นำตุ๊กตาที่ถอดแบบออกมาจากเธอนี้ออกสู่สายตาของสาธารณชนและได้พูดถึงความรู้สึกส่วนตัวเกี่ยวกับการมีตัวละครดิสนีย์ตัวโปรดที่ดูเหมือนตัวเองว่าเป็นเรื่องที่มีความหมายกับเธอมาก ทำให้แฟนคลับหลายคนที่เห็นให้ความสนใจและพูดถึงตุ๊กตามากขึ้นในวงกว้าง ปัจจุบันตุ๊กตานางเงือกแอเรียลตามแบบฉบับของ Halle Bailey เปิดให้สั่งซื้อล่วงหน้าแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปบนเว็บไซต์ของ Amazon Italy ก่อนที่ภาพยนตร์เรื่อง The Little Mermaid จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ครั้งแรกที่สหรัฐอเมริกาในวันที่ 26 พฤษภาคม 2023 ถึงแม้แอเรียลในเวอร์ชั่นนี้จะไม่ค่อยตรงใจกับใครหลายคนเท่าไหร่นัก แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ความคิดเห็นส่วนตัวในแต่ละบุคคล ซึ่ง Disney หรือไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจใครได้ แต่เชื่อว่าเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่เลยทีเดียวในการเลือกบทบาทใหม่ให้กับแอเรียลในครั้งนี้ เลยอยากให้ทุกคนลองให้โอกาสลองเปิดใจให้กับบทบาทใหม่ ไม่แน่คุณอาจจะชอบมันมากกว่าแอเรียลฉบับก่อน ๆ ก็ได้ Source : https://designtaxi.com/news/422522/Mattel-To-Debut-New-Little-Mermaid-Doll-In-Halle-Bailey-s-Image/?fbclid=IwAR3vao7lad214twpyGNMOFuatepx91vu7hJRC8fWvIm01bjjHKM7s2xyptU ติดตามเราได้ที่ช่องทางอื่นๆ Facebook : https://www.facebook.com/the.enterprise.platform Website: https://www.theenterprise.cc Blockdit : https://www.blockdit.com/the.enterprise.platform Linkedin: https://www.linkedin.com/company/73863082 Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCMEwm2AfCtYOAW1dJIGfUkA Spotify: https://open.spotify.com/show/3UP6gTN73hLZosIdWRaJ69

Read More

Wilson แบรนด์ผู้ผลิตอุปกรณ์กีฬาชั้นนำ ได้สร้างชื่อให้กับวงการกีฬาด้วยการเปิดตัว Wilson Airless Prototype หรือ ลูกบาสไร้อากาศ ที่สร้างขึ้นจากเทคโนโลยีการพิมพ์แบบ 3 มิติอย่างเป็นทางการครั้งแรกของโลก นับเป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าสำคัญของวงการกีฬา ที่มีลูกบาสไร้อากาศ โดยครั้งแรกได้มีการถูกนำไปใช้ในมือของKenyon Martin Jr กองหน้าทีม Houston Rockets ในการดังก์ลูกครั้งที่ 2 ในการแข่งขัน AT&T Slam Dunk Contest ที่จัดขึ้นระหว่างสัปดาห์การแข่งขันลีกบาสเกตบอล NBA ในปีนี้ ความโดดเด่นของ Wilson Airless Prototype คือ การไม่ต้องเติมลม บ่อยๆ เพื่อรักษาทรงลูกบาสนี้ไว้ เนื่องจากลูกบาสชนิดนี้ได้ใช้โครงสร้างและวัสดุพิเศษที่ช่วยสร้างคุณสมบัติกระเด้งกระดอนของลูกบาส เมื่อตกกระทบลงพื้น และที่สำคัญยังมีการขึ้นรูปในลักษณะของตาข่าย 3 มิติ ซึ่งช่วยให้อากาศภายนอกสามารถผ่านเข้าออกได้อย่างอิสระ Wilson ได้กล่าวถึงผลงานชิ้นนี้ว่า “ นี่คือลูกบอลที่ไม่เหมือนใคร โดยเราเลือกออกแบบมาให้สามารถเล่นได้เหมือนลูกบาสโดยทั่วไปอย่างที่ใครก็รู้จักกัน ” อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังคงเป็นเพียงต้นแบบเท่านั้นซึ่งในอนาคตจะมีการพัฒนาต่อเพิ่มเติมเพื่อนำไปวางจำหน่ายและใช้งานจริงในสนามแข่งอย่างแน่นอน Source : https://hypebeast.com/2023/2/wilson-3d-printed-airless-prototype-basketball-release-info?fbclid=IwAR0ULJGhzXiGofKAUHdsKvar56sHxtxn7clzJnmrNJ2UQD11KemDX76n8n8 ติดตามเราได้ที่ช่องทางอื่นๆ Facebook : https://www.facebook.com/the.enterprise.platform Website: https://www.theenterprise.cc Blockdit : https://www.blockdit.com/the.enterprise.platform Linkedin: https://www.linkedin.com/company/73863082 Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCMEwm2AfCtYOAW1dJIGfUkA Spotify: https://open.spotify.com/show/3UP6gTN73hLZosIdWRaJ69

Read More

ดีป้า พร้อมเครือข่ายพันธมิตรสายเทคร่วมเปิดตัว Tech Thailand แพลตฟอร์มดิจิทัลที่จะเป็นสื่อกลางและช่องทางการสื่อสารให้กับชุมชนด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมดิจิทัลของไทย ช่วยจับคู่ให้บุคลากรสายเทคและผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมได้พบกัน เพื่อร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมดิจิทัลไทยเดินหน้าอย่างเข้มแข็ง พร้อมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือภายใต้โครงการการส่งเสริมการพัฒนาระบบยืนยันตัวตนอิเล็กทรอนิกส์ และโครงการส่งเสริมกลุ่มชุมชนเทคโนโลยี แพลตฟอร์ม Tech Thailand ในประเทศไทย สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า พร้อมด้วย บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด และ บริษัท มิสเตอร์ฟ็อกซ์ จำกัด ร่วมเปิดตัว Tech Thailand แพลตฟอร์มดิจิทัลที่ได้รับการพัฒนาขึ้นในรูปแบบ Web3.0 และทำงานบน JFIN Chain โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสื่อกลางและช่องทางการสื่อสารให้กับชุมชนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลของประเทศ พร้อมส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการสร้างธุรกิจดิจิทัลในรูปแบบต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังร่วมกันจัดทำฐานข้อมูลกลุ่มประเภทองค์กรหรือธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีความหลากหลายให้สามารถค้นหาได้ผ่าน Tech Category พร้อมนำระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ให้เกิดมาตรฐานแก่บุคลากรที่เข้ามา มีส่วนร่วมในชุมชนในรูปแบบ Tech Citizen ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า เปิดเผยว่า แพลตฟอร์ม Tech Thailand จะเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้คนในวงการเทคโนโลยีดิจิทัลมีพื้นที่สำหรับพบปะพูดคุย แลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร ผลิตเนื้อหาที่เป็นประโยชน์และสร้างสรรค์ อีกทั้งสามารถสร้างรายได้ผ่านอาชีพใหม่ ขณะเดียวกันกลุ่มผู้ประกอบการ จะได้พบกับสาระความรู้ และสามารถค้นหาผู้เชี่ยวชาญที่มีมาตรฐาน เชื่อถือได้มาช่วยให้คำปรึกษาในการประกอบธุรกิจ นอกจากนี้ ดีป้า พร้อมที่จะส่งเสริมการพัฒนาระบบยืนยันตัวตนอิเล็กทรอนิกส์ให้เกิดขึ้น และผลักดันชุมชนเทคให้เข้าใช้งานแพลตฟอร์ม Tech Thailand ในวงกว้าง “ดีป้า เชื่อว่า ปัจจุบันมีบุคลากรไทยในสายเทคอีกจำนวนมากที่ยังขาดโอกาสในการเข้าถึงผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมดิจิทัล ขณะเดียวกันภาคอุตสาหกรรมเองก็ยังคงมองหาและมีความต้องการบุคลากรในสายจำนวนไม่น้อย ดังนั้นแพลตฟอร์ม Tech Thailand จะเป็นกลไกสำคัญในการจับคู่ (Matching) ให้ทั้งสองฝั่งได้มาเจอกัน และร่วมกันขับเคลื่อนอุตสาหกรรมดิจิทัลของประเทศให้เดินหน้าต่อไปอย่างเข้มแข็ง” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว พร้อมกันนี้ ดีป้า โดย ผศ.ดร.ณัฐพล และ เจ เวนเจอร์ส โดย นายธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ยังได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือภายใต้โครงการการส่งเสริมการพัฒนาระบบยืนยันตัวตนอิเล็กทรอนิกส์ และ โครงการส่งเสริมกลุ่มชุมชนเทคโนโลยี แพลตฟอร์ม Tech Thailand…

Read More

ใครเป็นแฟนคลับของภาพยนตร์เรื่อง ‘My Neighbor Totoro’ เร็ว ๆ นี้เตรียม Catbus หรือ รถบัสแมว ของจริงกันได้เลย โดยโปรเจกต์นี้เกิดจากสตูดิโอผู้สร้าง Studio Ghibli ร่วมมือกับบริษัทรถยนต์ชื่อดังอย่าง Toyota ที่กำลังเตรียมเปิดให้ใช้บริการในเร็ว ๆ นี้ Catbus นี้เป็นการนำรถยนต์รุ่น Toyota APM ที่เคยออกแบบไว้สำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่โตเกียว​​มาแปลงโฉมใหม่ และเปลี่ยนให้เป็นรถบัสแมวที่รองรับผู้โดยสารได้สูงสุดคันละ 6 คน ซึ่งตอนเรานั่งก็จะรู้สึกเหมือนเราเข้าไปอยู่ในโลกของการ์ตูนจริง ๆ เลย ที่สำคัญ Catbus ยังขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ไม่ปล่อยมลพิษสู่ชั้นบรรยากาศของโลก มั่นใจได้ว่าการเดินทางบนรถบัสแมวจะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแน่นอน โปรเจกต์นี้คาดว่าจะได้ใช้บริการในประเทศญี่ปุ่นภายในสิ้นเดือนมีนาคม 2024 โดยรสบัสคันนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของที่ตั้งสวนสนุกของ และ Ghibli Park นั่นเอง  Source : https://designtaxi.com/news/422234/Studio-Ghibli-Toyota-Are-Building-Rideable-Electric-Powered-Catbuses/?fbclid=IwAR02q9-SzopxEEJuI2WUQge4b_WUFJuzzG6-IPAcI0eC6QLXheBtjxFt3Ag ติดตามเราได้ที่ช่องทางอื่นๆ Facebook : https://www.facebook.com/the.enterprise.platform Website: https://www.theenterprise.cc Blockdit : https://www.blockdit.com/the.enterprise.platform Linkedin: https://www.linkedin.com/company/73863082 Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCMEwm2AfCtYOAW1dJIGfUkA Spotify: https://open.spotify.com/show/3UP6gTN73hLZosIdWRaJ69

Read More

ปัจจุบันถุงลมนิรภัยไม่ได้มีเพียงแค่ในรถยนต์เท่านั้น แต่ตอนนี้คนที่ขับขี่มอเตอร์ไซค์ก็ดูจะมีความจำเป็นในการใช้ถุงลมนิรภัยด้วยเช่นเดียวกันเพื่อความปลอดภัยทั้งผู้ขับขี่และความปลอดภัยบนท้องถนน ทางบริษัท Mo’Cycle จึงคิดค้นและวางจำหน่าย ‘Airbag Jeans’ ที่มีระบบพองลมซ่อนไว้ในกางเกงยีนส์ และจะขยายออกเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เหมือนกับถุงลมนิรภัยในรถยนต์ที่ช่วยลดแรงกระแทกและเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ แถมยังทำความสะอาดในเครื่องซักผ้าได้อย่างปกติ กางเกงยีนส์ตัวนี้ เมื่อระบบพองลมทำงาน ตัวกางเกงจะพองขึ้นในช่วงต้นขายาวไปจนถึงเข่า แม้จะไม่ได้ป้องกันอันตรายได้อย่างสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยกางเกงยีนส์รุ่นนี้จะช่วยป้องกันสะโพกและเข่าไม่ให้รับบาดเจ็บหรือเสียหาย หรือถ้าไม่ชอบกางเกงสไตล์พองตัวแค่ส่วนเดียว Mo’Cycle ก็มี ‘CX Easyrider’ จาก CX Air Dynamics กางเกงถุงลมที่สวมทับเสื้อผ้าเหมือนกับเสื้อชูชีพ โดยถุงลมนิรภัยจะทำงานและพองตัวตรงช่วงสะโพก ต้นขาส่วนบน และหัวเข่า ในกรณีฉุกเฉิน นอกจากนี้ยังมีตลับอัดอากาศแบบชาร์จซ้ำได้ ที่จะทำให้กางเกงพองตัวเพื่อเพิ่มความปลอดภัยซ้ำได้ถึงห้าครั้งเลยทีเดียว ใครที่สนใจ Airbag Jeans จำหน่ายในราคาประมาณ 17,000 บาท ส่วน CX Easyrider มีราคาประมาณ 22,000 บาท สายนักบิดทั้งหลายต้องซื้อไปไว้ใส่กันบ้างแล้วแหละ Source : https://designtaxi.com/news/422287/Airbag-Jeans-Are-Here-To-Rescue-Motorcyclists-From-Falls-Or-Collisions/?fbclid=IwAR014ZtRNZL7qRZVxKeCNNpQePUnZuuaPut-HH3N1evJq1CzDsgSR2riMAg ติดตามเราได้ที่ช่องทางอื่นๆ Facebook : https://www.facebook.com/the.enterprise.platform Website: https://www.theenterprise.cc Blockdit : https://www.blockdit.com/the.enterprise.platform Linkedin: https://www.linkedin.com/company/73863082 Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCMEwm2AfCtYOAW1dJIGfUkA Spotify: https://open.spotify.com/show/3UP6gTN73hLZosIdWRaJ69

Read More

ดื่มกาแฟมากไประวังเสื่ยงโดยไม่รู้ตัว! ถึงแม้ร่างกายจะต้องการคาเฟอีนแต่ถ้าได้รับมากจนเกินไปก็อาจกลายเป็นผลเสียมากกว่าผลดี จากผลสำรวจล่าสุดโดย Statista เผยว่า ชาวอเมริกันกว่า 68% ดื่มกาแฟเป็นประจำ ซึ่งบางคนดื่มกาแฟมากถึง 11 แก้วต่อวัน และชาวอเมริกันส่วนใหญ่กว่า 44% ดื่มกาแฟ 2-3 แก้วต่อวัน ผลสำรวจนี้ตรงกับการรายงานจำนวนมากที่แสดงให้เห็นว่า ผู้ใหญ่มีการรับคาเฟอีนอยู่ที่ประมาณ 180-190 มิลลิกรัมต่อวัน ส่วนกลุ่มคนรุ่นใหม่รับคาเฟอีนอยู่ที่ประมาณ 250-300 มิลลิกรัมต่อวันเลยทีเดียว ล่าสุด รายงานจากวารสาร Journal of Neurochemistry เมื่อปี 2020 เผยสัญญาณเตือนที่ต้องระวัง หากดื่มกาแฟในปริมาณมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ หรือมากกว่า 400 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งเทียบเท่ากับกาแฟ 2-3 แก้ว 5 สัญญาณเตือนที่กำลังบอกว่าคุณกำลังดื่มกาแฟมากเกินไป 1. คุณจะรู้สึกปวดหัวมากเกินจนผิดปกติกว่าคนทั่ว ๆ ไป 2. อยู่ ๆ คุณจะรู้สึกไร้ค่า จนทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้ 3. มีความกังวลมากเกินไป 4. รู้สึกหวาดกลัว 5. มีอาการตื่นตระหนกผิดปกติ อาการเหล่านี้ส่งผลทั้งสภาพร่างกายไปจนถึงอารมณ์ที่ส่งผลกระทบไปยังจิตใจ ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดจากการที่ร่างกายได้รับคาเฟอีนที่มากเกินไป เลยทำให้สารคาเฟอีนเป็นตัวปิดกั้นสารเคมีในสมอง และในขณะเดียวกัน ก็เป็นตัวกระตุ้นการปล่อยอะดรีนาลีนที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น และอัตราการหายใจเพิ่มขึ้นด้วย ถึงแม้การดื่มกาแฟจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพแ ทั้งช่วยลดความเสี่ยงในโรคเบาหวาน โรคลไซเมอร์ และรวมไปถึงโรคมะเร็งบางชนิด แต่ก็ควรกินในปริมาณที่พอดี ไม่เช่นนั้นร่างกายจะได้รับผลเสียซะมากกว่า อย่างไรก็ตามควรสังเกตอาการของตัวเองและลดปริมาณของกาแฟให้น้อยลง ซึ่งเป็นทางแก้ที่ง่ายที่สุดอย่าชะล่าใจแล้วทำมันเมื่อสายเกินแก้ Source : https://www.eatthis.com/warning-sign-drinking-too-much-coffee/?fbclid=IwAR0lIClBX8AmFFTCq6RVb6OXDOD6lAy4PEsoleE4Warning Sign You’re Drinking Too Much CoffeeF0PimQ0jc5BFlRsrhNQ ติดตามเราได้ที่ช่องทางอื่นๆ Facebook : https://www.facebook.com/the.enterprise.platform Website: https://www.theenterprise.cc Blockdit : https://www.blockdit.com/the.enterprise.platform Linkedin: https://www.linkedin.com/company/73863082 Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCMEwm2AfCtYOAW1dJIGfUkA Spotify: https://open.spotify.com/show/3UP6gTN73hLZosIdWRaJ69

Read More

ล่าสุด Yuga Labs ผู้พัฒนาโปรเจกต์ Bored Ape Yacht Club ออกมาประกาศว่า บริษัทสามารถระดมทุนได้สูงถึง 450 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 15,120 ล้านบาท โดยจะนำเงินส่วนนี้ไปใช้ในการสร้างระบบนิเวศ NFT เป็นของตัวเอง การระดมทุนรอบนี้ทำให้ Yuga Labs กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่า 4,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งนักลงทุนสำคัญคือ Andreessen Horowitz นักลงทุนในซิลิคอนแวลลีย์ หรือรู้จักในชื่อ a16z ในโลก NFT เขาเคยลงทุนในโปรเจกต์ NFTs และ Web 3 หลายตัว เช่น OpenSea, Dapper Labs, Coinbase Yuga Labs ตั้งเป้าในการสร้างอาณาจักรของตัวเอง โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ NFT พวกเขาตั้งใจว่าจะสร้างเกม และ Metaverse ซึ่งมีทีท่าว่าจะไปได้สวย เพราะได้บริษัทพาร์ทเนอร์ดี ๆ อย่างสตูดิโอเกม Animoca Brands รวมถึงกระดานซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตอย่าง Coinbase และ MoonPay ที่ได้เข้ามาร่วมระดมทุนในครั้งนี้ เมื่อข่าวนี้ได้กระจายออกไป ในเวลาเพียงเดือนเดียว Yuga Labs ก็สามารถเรียกเสียงฮือฮาให้แก่โลก NFT ได้พอควร เมื่อเขาประกาศว่าได้ซื้อคอลเล็กชัน CryptoPunks และ Meebits จาก Larva Labs และทำให้พวกเขากลายเป็นเจ้าของโปรเจกต์ NFT สำคัญถึง 3 โปรเจกต์ นั่นยังไม่รวมถึงการออกเขียน ApeCoin และ Metaverse ภายในชื่อ The Otherside คาดว่าเป็นเกม MMORPG เชื่อมต่อจักรวาล NFT ให้กว้างขึ้น ในอนาคตเชื่อว่าเราคงได้เห็นคอลเล็กชั่นดัง ๆ ในอีกมากมายที่จะมารวมอยู่ในระบบของ NFT นี้ Source :…

Read More

คนส่วนใหญ่มักจะติดกับคำเดิม ๆ ว่า ยิ่งฉลาดมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งได้รับเงินเดือนสูงขึ้นเท่านั้น แต่ผลการศึกษาล่าสุดในประเทศสวีเดนพบข้อมูลบ่งชี้ว่า คนที่ได้รับเงินเดือนมากที่สุด อาจจะไม่ใช่พนักงานที่ฉลาดสุดเสมอไป ผลการศึกษาได้ถูกตีพิมพ์ลง European Sociological Review เมื่อเดือนมกราคม 2023 โดยพบว่า ถึงแม้ความฉลาดมีความสัมพันธ์กับค่าจ้างจริง แต่ก็ไม่เสมอไป เพราะมันมีขีดจำกัดเช่นกัน งานวิจัยนี้ได้มีการพูดถึงบริษัทหรือองค์กรต่างๆ ที่มักจะให้เงินเดือนสูงๆกับผู้บริหาร โดยให้เหตุผลว่าคนกลุ่มนี้ ฉลาดกว่า หรือ มีความสามารถมากกว่า ซึ่งนักวิจัยได้ตั้งคำถามว่าเหตุผลนี้เป็นจริงมากน้อยแค่ไหน ทีมนักวิจัยจึงไปสำรวจข้อมูลเรื่องรายได้และค่าตอบแทนของผู้ชายสวีเดนที่มีอายุตั้งแต่ 35-45 ปี จำนวน 59,387 คน แล้วนำรายได้ไปเทียบกับผลการทดสอบระดับสติปัญญาของกลุ่มตัวอย่างเหล่านี้ โดยอ้างอิงจากข้อมูลซึ่งถูกเก็บรวบรวมตั้งแต่ปี 1991 ผลปรากฏว่าคนที่ดำรงตำแหน่งสูงๆ ในระดับผู้บริหาร หรือคนที่ได้รับเงินเดือนสูงกว่าคนอื่นๆ ในปัจจุบัน ไม่ได้มีระดับความฉลาดที่สูงกว่าคนที่เป็นพนักงานธรรมดา ๆ เสมอไป โดยงานวิจัยนี้เจาะจงลงไปอีกว่า คนที่ได้รับเงินเดือนหรือค่าตอบแทนต่อปีสูงประมาณ 600,000 โครนาสวีเดน หรือประมาณ 2 ล้านบาท มีระดับสติปัญญาโดยเฉลี่ยสูงกว่าคนอื่นจริง แต่คนที่ได้เงินเดือนสูงกว่าคนกลุ่มนี้ขึ้นไปอีก กลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้มีข้อจำกัดอยู่บ้าง เพราะไม่ได้นำปัจจัยอื่นๆ มาประกอบการพิจารณาด้วย เช่น ความสามารถพิเศษของผู้บริหารระดับสูงที่นอกเหนือจากผลชี้วัดระดับสติปัญญา แรงจูงใจในการทำงาน ทักษะทางสังคม ความคิดสร้างสรรค์ และทักษะอื่นๆ ที่อาจจะมีส่วนช่วยให้คนที่ดำรงตำแหน่งสูงๆ ได้รับค่าตอบแทนสูงกว่าคนอื่นอย่างสมเหตุสมผล นอกจากนี้ นี่ยังเป็นการศึกษาที่ใช้ข้อมูลแค่ในสวีเดนเพียงประเทศเดียว ทั้งยังเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางรายได้ค่อนข้างต่ำ แต่ถ้าหากเป็นประเทศอื่นๆ ที่มีช่องว่างทางรายได้สูง เช่น สิงคโปร์ หรือสหรัฐอเมริกา ผลที่ได้อาจจะไม่เหมือนกันเลย Source : https://fortune.com/2023/02/17/smartest-not-paid-most-wages-study-european-sociological-review/?fbclid=IwAR2oXMxNwsXd407uEnP6_o2aPWCZL_7QGGQilDeIZKQk1j8eDVquQttQqws ติดตามเราได้ที่ช่องทางอื่นๆ Facebook : https://www.facebook.com/the.enterprise.platform Website: https://www.theenterprise.cc Blockdit : https://www.blockdit.com/the.enterprise.platform Linkedin: https://www.linkedin.com/company/73863082 Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCMEwm2AfCtYOAW1dJIGfUkA Spotify: https://open.spotify.com/show/3UP6gTN73hLZosIdWRaJ69

Read More

Conflux บริษัทวิจัยบล็อกเชนในประเทศจีนประกาศร่วมมือกับบริษัท Telecom สร้างบล็อกเชนซิมการ์ด (BSIM) พร้อมเปิดตัวภายในสิ้นปีนี้ Conflux ได้อธิบายถึงตัว BSIM ว่า มันจะสามารถช่วยลดอุปสรรคในการเข้าสู่ Web3 ลงได้อย่างมากสำหรับผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือของ China Telecom กว่า 390 ล้านราย ในขณะที่ทำธุรกรรมได้รวดเร็วและปลอดภัยมากยิ่งขึ้นด้วย โดยมีเป้าหมาย คือ การทำให้ โทรศัพท์มือถือมีความปลอดภัยมากขึ้น การ์ด BSIM มีลักษณะภายนอกที่แตกต่างจาก SIM ทั่วไปโดยมีพื้นที่เก็บข้อมูลใหญ่กว่า SIM การ์ดทั่วไป 10-20 เท่า และพลังการประมวลผลเพิ่มขึ้นหลายสิบเท่า ผู้ใช้ที่เปลี่ยนไปใช้การ์ด BSIM จะสามารถจัดเก็บสินทรัพย์ดิจิทัลได้อย่างปลอดภัย ถ่ายโอนสินทรัพย์ดิจิทัลได้สะดวก และแสดงสินทรัพย์ในแอปพลิเคชั่นที่หลากหลาย ส่วนภายใน BSIM ก็ยังสามารถเก็บ digital private keys และเรียกใช้ signature เพื่อทำธุรกรรมได้ แถมยังมีฟังก์ชัน one-click direct click ที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานตรวจสอบความคืบหน้าได้แบบเรียลไทม์ Ming WU CTO ของ Conflux Network กล่าวว่า ‘’ การ์ด BSIM ช่วยปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้และลดอุปสรรคในการเข้าสู่ Web3  และโลก Metaverse กุญแจสำคัญที่จะทำให้ Conflux ยกระดับระบบไปอีกขั้น การร่วมมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งเช่น China Telecom และเริ่มจากเข้าสู่ฮ่องกงก่อนเป็นอันดับแรกจะทำให้เราสามารถเข้าสู่ตลาดได้ในอนาคตอันใกล้ ทั้งในประเทศจีนและทั่วโลก” Source : https://mpost.io/china-telecom-aChina Telecom and Conflux Network to pilot Blockchain enabled SIM card in Hong Kongnd-conflux-network-to-pilot-blockchain-enabled-sim-card-in-hong-kong/ ติดตามเราได้ที่ช่องทางอื่นๆ Facebook : https://www.facebook.com/the.enterprise.platform Website: https://www.theenterprise.cc Blockdit : https://www.blockdit.com/the.enterprise.platform Linkedin:…

Read More

ย้อนกลับไปในอดีตปี 2018 ได้มีข่าวสุดช็อคให้กับคนหลาย ๆ วงการในเรื่องนักวิทยาศาสตร์จีนทำการทดลองลับ ๆ กับการสร้างมนุษย์ตัดต่อพันธุกรรม โดยไม่ได้มีการรับอนุญาตจากทางการจีน ซึ่งโครงการนี้มีความต้องการที่จะให้มนุษย์สามารถต่อต้านเชื้อ HIV ได้ ซึ่งทำให้ประเด็นนี้มีการวิจารณ์ค่อยข้างหนักเลยทีเดียว ถึงแม้การสร้างเด็ก GMO จะประสบความสำเร็จถึง 3 คน แต่หลายคนมองว่าไม่มีความจำเป็นและเป็นการทำให้ขัดกับหลักจริยธรรมในวงการแพทย์อีกด้วย ซึ่ง He Jiankui นักวิทยาศาสตร์จีนคนดังกล่าว ได้โดนคนทั่วโลกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จนสุดท้ายได้ถูกทางรัฐบาลจีนนำไปสอบสวนและติดคุกถึง 3 ปี ยังไม่จบเพียงเท่านั้น He Jiankui ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อเรื่องของเด็ก GMO ว่า ‘’ เด็กๆ แข็งแรงดีเหมือนเด็กปกติทั่วไป และเขายินดีจะหาทุนเพื่อตรวจเช็คและดูแลสุขภาพเด็กๆ ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าเด็กจะบรรลุนิติภาวะ ในระหว่างนี้เขาอยากให้คนทั่วโลกช่วยเคารพความเป็นส่วนตัวของเด็กๆ เพราะพวกเขาก็คือมนุษย์เหมือนกับทุกคน ’’ เรื่องนี้จึงตกเป็นประเด็นในด้านจริยธรรมเป็นอย่างมาก หลายวงการพยายามถกเถียหาข้อยุติให้กับเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ใช่ง่าย ๆ เลย ซึ่งบทสัมภาษณ์ของ He Jiankui ก็ไม่ได้บอกอะไรแน่ชัดว่าการทดลองนี้เป็นไปตามที่เขาคาดคิดไว้หรือไม่ แต่ถึงอย่างไรเด็ก GMO ก็ได้มีการเติบโตขึ้นมาแล้วแต่แค่วิธีการเกิดแตกต่างจากคนปกติทั่วไป ถ้าให้พูดกันตามตรงถ้าเราเดินบนถนนที่ไหนสักแห่ง เราจะสามารถแยกความแตกต่างออกได้จริงๆหรอว่าคนไหนคือเด็ก GMO เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็คือมนุษย์เหมือนกับเรา ซึ่งสำหรับเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถให้คำตอบที่ตายตัวได้ Source : https://www.popularmechanics.com/science/health/a42790400/crispr-babies-where-are-they-now-first-gene-edited-children/?fbclid=IwAR3hwa6HGFkKL0hpng3lqVRE9TwlQIIsAELwHp9QTPHQjgXocCKWtwrTVYo

Read More